วันพฤหัสบดีที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2551

สังขละบุรี (ตอนที่ 2)

อ่านข้อมูลจากตอนที่ 1 แล้วอยากไปกันรึยังเอ่ย?? ถ้ายังลองอ่านตอนนี้ต่อนะค่ะ เพราะเรามีข้อมูลพร้อมรูปสวยๆของสถานที่เที่ยวในสังขละฯให้คุณเพิ่มเติมจากตอนที่แล้วคะ ^-^

ทริปนี้เราเดินทางด้วยรถ บ.ข.ส. ขึ้นรถ กรุงเทพฯ-ด่านเจดีย์สามองค์ ที่หมอชิต 2
ป.1 มีรอบเดียว 05.00 น. ป.2 มี 3 รอบ 06.00, 09.30 และ 12.30 น.
อัตราค่าโดยสาร ป.1-298 บาท ป.2-228 บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ช.ม.


เราเลือกรอบ 6 โมงเช้า แต่ต้องเผื่อเวลาไว้ไปซื้อตั๋ว ซื้อน้ำ เข้าห้องน้ำกันก่อนขึ้นรถ เลยมาถึงหมอชิตประมาณตี 5 ครึ่ง (สำหรับผู้ที่คิดว่าจะไปซื้อตัวล่วงหน้า ป้องกันรถเต็ม แล้วก็จะได้ไม่ต้องออกเช้ามาก ต้องขอบอกว่า...ไม่ต้องไปให้เสียเวลานะค่ะ เราผิดหวังกันมาแล้ว เพราะเค้าไม่ขายให้ เจ้าหน้าที่บอกต้องซื้อในวันเดินทาง...ทั้งๆที่หลังตั๋วเขียนไว้ว่าเราสามารถซื้อตั๋วล่วงหน้าได้ 30 วัน - -“ ) เท่าที่เห็นผู้โดยสารก็พอสมควรทีเดียว เกือบเต็มรถเหมือนกัน ทั้งๆที่เราไปกันวันพุธซึ่งไม่ใช่วันหยุดนะคะ รถออก 6 โมง ตรงเวลาเป๊ะ มีจอดพักให้กินข้าวเช้า เข้าห้องน้ำ 15 นาทีที่ตัวเมืองทองผาภูมิตอนประมาณ 10 โมงครึ่ง ร้านนี้ขายข้าวแกง ข้าวขาหมู ก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง คุกกี้ นมหรือเครื่องดื่มอย่างอื่นก็มีให้เลือก


เราถึงสังขละฯตอนเที่ยง จุดจอดรถอยู่ติดกับตลาดสดสังขละฯเลยค่ะ เราจองที่พักที่สามประสบรีสอร์ทไว้ วิธีไปก็ง๊ายง่ายล่ะ...เรียกพี่วิน (อยู่ทางขวามือของจุดจอดรถ) ตอนแรกจากแผนที่รีสอร์ทเห็นว่าใกล้ๆ เราก็คิดกันว่าจะเดินไปนะ แต่พอถามเส้นทางคนแถวนั้นเราก็เริ่มงง พี่เค้าแนะว่าให้เรียกวินมอเตอร์ไซค์ไป คนละ 15 บาท เอาไงดี...ชักไม่มั่นใจแล้วด้วยว่าจะไปถูก (- -“ ) สุดท้ายเราก็ตัดสินใจเรียกพี่วิน เพราะราคารับได้และที่แน่ๆ คือไม่หลงค่ะ 555


ซ้อนพี่วินประมาณ 5 นาที ก็ถึงสามประสบรีสอร์ทแล้วค่ะ เรากลัวที่พักเต็มเลยจองล่วงหน้าเรียบร้อย (ในตอนที่ 1 เราได้ลงเบอร์โทรศัพท์ที่พักต่างๆ ไว้ให้คุณเลือก สนใจที่ไหนโทรสอบถามรายละเอียดได้นะคะ) เราจองห้องแบบ Cottage ราคาคืนละ 600 บาท เข้าพักได้ 2 คน เราจอง 2 คืนก็ 1200 บาท แต่ห้องคืนละ 600 บาท แบบเรามีแค่ 4 ห้อง ในรูป...ห้องเราคือ บ้านหลังที่ 2 จากทางขวาค่ะ


ภายในห้องพักมีทีวี แอร์ เครื่องทำน้ำอุ่น ผ้าเช็ดตัว 2 ผืน สบู่ก้อนเล็กๆ 2 ก้อน น้ำดื่มวันละ 2 ขวด


ห้องน้ำกว้างมากกก นอนได้เลยค่ะ



ออกจากห้องพักเดินไปไม่กี่ก้าวก็ถึงร้านอาหารของรีสอร์ท และที่สำคัญออกมาหน้ารีสอร์ทเดินไปตามทางลงซ้ายมือก็ถึงสะพานมอญแล้วค่ะ



หลังจากสำรวจห้อง เก็บข้าวของเสร็จแล้ว ก็ไปกินข้าวเที่ยงที่ร้านอาหารของรีสอร์ท


จากร้านอาหารมองไปสามารถเห็นวิวทะเลสาบเหนือเขือนเขาแหลมที่สวยงาม เรือนแพริมทะเลสาบ สะพานมอญ แล้วก็เจดีย์พุทธคยาอยู่ริบๆด้วยนะคะ



กินอิ่มๆไปเดินเล่นย่อยอาหารกันซักหน่อยดีกว่า เราเดินออกจากรีสอร์ทเลี้ยวซ้ายลงไปสะพานมอญ ที่ศาลาหน้าสะพานมอญจะเห็นป้ายแพลุงเณรค่ะ พี่เค้าให้บริการแพเช่า เรือเช่า ตกปลา แพลาก แพล่อง วัดจมน้ำและรับถ่ายโฆษณาด้วย พี่เล็กเจ้าของแพบอกว่า ถ้านั่งเรือชมเมืองบาดาล แม่น้ำสามสาย และต้นตาล ประมาณ 30 นาที ราคา 300 บาท นั่งได้มากสุดรอบละ 8 คน เราเห็นว่าแดดยังแรงอยู่ เลยนัดพี่เล็กไว้เย็นๆค่อยไป


หลังจากนัดแนะกับพี่เล็กเสร็จ ก็เดินไปสะพานปูนทางซ้ายมือ เรามารู้จากเด็กมอญแถวนั้นว่า สะพานปูนนี้เป็นสะพานที่ทางเทศบาลสร้างขึ้น เพื่อให้ชาวกะเหรี่ยงที่อยู่บนเขาไม่ต้องเดินข้ามเขาถึง 2 ลูกเวลาจะมาที่นี่ค่ะ (- -“ )


เราเดินสำรวจต่ออีกซักพักแล้วกลับห้อง พอซักประมาณ 4 โมงครึ่ง แดดร่มหน่อย ก็ไปนั่งเรือดูเมืองบาดาลกัน พี่คนขับเรือซึ่งเป็นไกด์ด้วยจะคอยเล่าเรื่องสถานที่ต่างๆให้เราฟังค่ะ

จุดแรก...จุดรวมของแม่น้ำสามสาย ได้แก่ ซองกาเลีย บีคลี่ และรันตีไหลมาบรรจบกันจึงเรียกกันว่า สามประสบ


จุดที่สอง...หอระฆัง วัดจมน้ำหรือวัดวังก์วิเวการามเก่าของหลวงพ่ออุตตมะ ตอนเราไปได้ทำการบรูณะใหม่แล้ว สีแจ่มเชียวคะ


จุดที่สาม...โบสถ์ วัดจมน้ำ ซึ่งตอนนี้จมอยู่ใต้น้ำซักครึ่งหลังได้ ในอดีตเป็นวัดวังก์วิเวการามเดิมที่หลวงพ่ออุตตมะและชาวบ้านอพยพ ชาวกะเหรี่ยงและมอญได้ร่วมก้นสร้างขึ้น เมื่อปี 2496 ต่อมาในปี 2527 มีการก่อสร้างเขื่อนเขาแหลมทำให้น้ำเข้าท่วมตัวอำเภอสังขละบุรีเก่ารวมทั้งวัดนี้ด้วย ปัจจุบันจึงได้ย้ายวัดไปอยู่บนเนินเขา ส่วนวัดเดิมนี้ก็จมอยู่ใต้น้ำมานานนับสิบปีแล้ว


สุดท้าย...ต้นตาลอายุนับร้อยปี พี่คนขับเรือบอกว่ามันค่อยๆเฉาหลังจากหลวงพ่ออุตตมะมรณะภาพ และตายลงหลังจากนั้นอีก 2 ปี


กลับถึงฝั่งใช้เวลารวมครึ่งชั่วโมงพอดี จากนั้นเราเดินไปสะพานมอญคะ ระหว่างที่อยู่บนสะพานเราได้เจอเด็กมอญซึ่งหานักท่องเที่ยวไปนั่งเรือชมวัดจมน้ำหรือบริการแพพักอยู่เรื่อยๆ ดังนั้นไม่ต้องกลัวเลยค่ะว่าคุณจะหาเรือไปเที่ยววัดจมน้ำไม่ได้ แต่สำหรับผู้ที่ไปเที่ยวและมีที่พักแล้วอย่างเรา คำถามต่อไปก็คือ ทราบประวัติสะพานรึยัง? น้องเค้าเลยได้เล่าประวัติสะพานให้เราฟังค่ะ ^-^

“สะพานมอญ” หรือ สะพานอุตตมานุสรณ์ เป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทยมีความยาวถึง 850 เมตร สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2528 โดยชาวมอญในหมู่บ้าน เพื่อให้ผู้ที่อยู่อาศัยสามารถข้ามแม่น้ำซองกาเลียไปมาระหว่างฝั่งอำเภอสังขละฯ และ ฝั่งหมู่บ้านชาวมอญ




เราถามพี่เล็กเจ้าของแพลุงเณรถึงที่เที่ยวในสังขละฯ พี่แกบอกว่าฝั่งหมู่บ้านชาวมอญมีวัดวังก์ฯ(สร้างขึ้นใหม่) เจดีย์พุทธคยาจำลอง เช้าๆหน่อยซักประมาณ 6 โมง มีพระออกบิณฑบาตร และร้านโจ๊กที่ตีนสะพานกับตลาดสดในหมู่บ้านก็เริ่มเปิดขายแล้ว เราเลยเดินไปสำรวจหมู่บ้านชาวมอญกันต่อ

เข้าคูหากาเบอร์เดียว...


โรงหนังในหมู่บ้านชาวมอญ แต่ปัจจุบันเลิกกิจการไปแล้วค่ะ


ป้ายบอกซอยเค้าหรูกว่าแถวบ้านเราอีกค่ะ ^^


เราวางแผนกันว่าวันรุ่งขึ้นจะตื่นไปใส่บาตร ดูวิถีชีวิตชาวมอญกันแต่เช้าเลย...อยากรู้ไหมค่ะว่าเป็นยังไง ไว้จะเล่าให้ฟังในตอนหน้านะคะ...บ๊ายบาย บ๊ายบาย ( ^ -‘)w

Article by Gade
Photo by Kaem

บทความที่เกี่ยวข้อง

สังขละบุรี (ตอนที่ 1)
สังขละบุรี (ตอนที่ 3)

Read More

วันพฤหัสบดีที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2551

สังขละบุรี (ตอนที่ 1)

สวัสดีค่ะ ทริปที่สองของ V Travel เราจะพาคุณไปสังขละบุรี ในจังหวัดกาญจนบุรี ที่ที่สร้างความประทับใจให้กับเราอย่างมากมายเลยล่ะค่ะ


สังขละบุรี เป็นเมืองเล็กๆ ติดชายแดนฝั่งตะวันตกของไทย อีกทั้งยังมีผืนป่าที่ยังคงความอุดมสมบรูณ์อย่างมาก จึงทำให้สังขละบุรี เป็นศูนย์รวมของชนหลายเชื้อชาติทั้งไทย มอญ และกระเหรี่ยง ซึ่งมีวัฒนธรรมและวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมที่น่าสนใจไม่น้อย ที่เที่ยวก็มีอยู่หลายแห่งทั้งด่านเจดีย์สามองค์ สะพานมอญ วัดวังก์วิเวการาม รวมถึงเมืองบาดาลซึ่งเป็นหนึ่งใน Unseen in Thailand

ด้วยระยะทางที่ห่างจากกรุงเทพฯกว่า 300 กิโลเมตร จึงเป็นจุดมุ่งหมายที่ต้องตั้งใจมาจริงๆ เพราะสังขละบุรีไม่ใช่เมืองที่เป็นทางผ่าน และไม่มีความศิวิไลซ์เฉกเช่นเมืองอื่นๆ แต่ถ้าได้มาเยือนแล้วต้องบอกว่าเป็นการใช้เวลาพักผ่อนที่คุ้มค่าได้ดีทีเดียว

เสน่ห์ของสังขละบุรีอยู่ที่ความเงียบสงบ และใช้เวลากับธรรมชาติให้คุ้มค่า ต่อให้ให้ฝนจะตก แดดจะออก หรืออากาศหนาวเพียงใด ถ้ามาที่นี่แล้วจะรู้สึกสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ธรรมชาติมอบให้ จนอยากจะหยุดเวลาไว้ ณ ที่แห่งนี้

การเดินทางไปสังขละบุรี

- รถส่วนตัว
ห่างจากตัวเมืองกาญจนบุรีประมาณ 215 กิโลเมตร ไปตามทางหลวงหมายเลข 323 ถึงทางแยกก่อนเข้าตัว อ.ทองผาภูมิให้เลี้ยวขวา ขับรถต่ออีก 74 กิโลเมตร ถึง อ.สังขละบุรี ใช้เวลาประมาณ 6 ช.ม. การขับรถไปสังขละบุรี ผู้ขับต้องมีความชำนาญในการขับรถพอสมควร เนื่องจากเส้นทางที่คดเคี้ยวและลาดชันโดยเฉพาะช่วงทองผาภูมิ มุ่งหน้าสู่สังขละบุรี ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ

- รถประจำทาง
เส้นทางที่สะดวกที่สุด เนื่องจากมีรถที่เดินทางจากกรุงเทพฯ - สังขละบุรี โดยไม่ต้องต่อรถอีก สามารถซื้อตั๋วเดินทางได้ที่ สถานีขนส่งสายเหนือ (หมอชิต) เส้นทางกรุงเทพฯ - ด่านเจดีย์สามองค์ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ช.ม.

หรือขึ้นรถที่ สถานีขนส่งสายใต้ใหม่ เส้นทางกรุงเทพฯ - กาญจนบุรี ใช้เวลาประมาณ 2 ช.ม. ลงที่สถานีขนส่ง จังหวัดกาญจนบุรี แล้วนั่งรถสายกาญจนบุรี - ทองผาภูมิ - สังขละบุรี (รถไม่มีแอร์) ใช้เวลาในการเดินทางจากตัวเมืองถึงสังขละบุรีประมาณ 4 ช.ม. หรือใช้บริการรถของ บริษัท เอเซียไทรโยคเดินรถ จำกัด อยู่ที่ตัวเมืองกาญจนบุรี อัตราค่าโดยสาร รถตู้ปรับอากาศ 118 บาท, รถปรับอากาศใหญ่ 151 บาท เวลารถ 7.30-16.30 น รถออกทุก 1 ช.ม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ช.ม.ครึ่ง

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่กาญจนบุรีทัวร์ โทร. 02-435-5012 หรือที่เว็บไซต์ www.transport.co.th

- รถไฟ
ขึ้นจากสถานีหัวลำโพง ปลายทางคือ สถานีน้ำตก จากนั้นต้องนั่งรถต่อไปยัง สังขละบุรี โดยรถสารภายในจังหวัดกาญจนบุรี สอบถามรายละเอียดรถไฟเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.railway.co.th

ที่พักและที่กิน

มีทั้งรีสอร์ท และเรือนแพ ริมทะเลสาบมากมายให้คุณเลือกพัก เช่น
1. สามประสบรีสอร์ท โทร. 034-595050
2. พี เกสท์เฮ้าท์ โทร. 034-595061
3. ซองกาเลียรีสอร์ท โทร. 034-595023-4
4. เกริงกระเวียรีสอร์ท โทร. 081-8162429
5. แพลุงเณร โทร. 034-595360, 089-2212330, 087-1619323

Tips for Trip

- ช่วงที่เหมาะสุดซึ่งจะเห็นเมืองบาดาลได้คือ ระหว่างเดือนมีนาคมถึงเมษายน ที่น้ำในเขื่อนลดลงต่ำสุด
- ถ้าไปช่วงเทศกาลสงกรานต์ จะได้ชมวิถีการเล่นน้ำสงกรานต์แบบชาวมอญ ณ สะพานมอญ
- ถ้าอยากนั่งเรือไปเที่ยวหมู่บ้านช้าง ชาวกะเหรี่ยง และล่องแก่ง ต้องเป็นช่วงที่น้ำขึ้นสูงหรือฤดูฝน แต่คุณก็จะไม่สามารถเห็นเมืองบาดาลแบบเต็มๆ เพราะน้ำจะท่วมสูงเกือบทั้งหมดเหลือเพียงยอดของโบสถ์ให้เห็นเท่านั้น (อยากเที่ยวที่ไหน ดูช่วงเวลาดีๆนะค่ะ)
- เท่าที่เราสอบถามมา ถ้าไปช่วงวันหยุดต่างๆ หรือ วันศุกร์-วันอาทิตย์ ควรจองที่พักล่วงหน้า เพราะนักท่องเที่ยวเยอะค่ะ แต่ถ้าคุณไม่ได้ไปช่วงนั้นแล้วคิดว่าจะนอนแพ คุณอาจไปเดินดูก่อน แพพักจะเรียงรายอยู่ทั้ง 2 ฝั่งริมแม่น้ำ ชอบแพไหนค่อยตัดสินใจอีกที
- อย่าลืมพกบัตรประชาชนไปด้วย ระหว่างทางเข้าอำเภอสังขละฯจะมีเจ้าหน้าที่ขึ้นมาตรวจบนรถนะคะ
- สะพานมอญชำรุดหลายที่ เวลาเดินระวังตกนะคะ...อย่าให้เหมือนคนเขียนที่มัวแต่มองวิวเพลินจนตกสะพานมาแล้ว (- -“ )

แหล่งข้อมูล

Dazzle vol.1, สามประสบรีสอร์ท, คู่มือเที่ยวเมืองไทย Thailand Travel Manual 2001-2008

Article by Gade
Photo by Kaem

สังขละบุรี (ตอนที่ 2)
สังขละบุรี (ตอนที่ 3)

Read More

วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น (ตอนที่ 3)


ตอนเช้าเราตื่นมาตั้งกล้องที่ระเบียง ถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นตอนประมาณ 6 โมงครึ่ง
ยามเช้าที่แม่ขมิ้น บรรยากาศดีมากค่ะ อากาศเย็นสบาย มีทั้งเสียงน้ำตก เสียงนกร้อง


สายหน่อยก็อาบน้ำ กินข้าว พออิ่มแล้วก็หิ้วกล้องออกลุยกันเลย

ช่วงเช้าเราตัดสินใจเดินลงจากชั้นที่ 4 ไปชั้นที่ 1 น้ำตกช่วงนี้มีที่ให้เดินเล่นเยอะ มีแอ่งน้ำใหญ่ที่ลงไปเล่นน้ำได้ (บริเวณที่พักของเรา ลานกางเต็นท์ ร้านสวัสดิการ จะอยู่ในช่วงของน้ำตกชั้นที่ 4 พอดี) เราออกลุยกันตอนประมาณ 9 โมงเช้า เดินไปถ่ายรูปไป เพลินๆ ชิวๆ เดินกลับขึ้นมาถึงร้านสวัสดิการปาเข้าไปบ่ายโมง พอรู้เวลาก็หิวกันขึ้นมาในทันที (- -“ ) มื้อเที่ยงอย่างนี้ทางร้านสวัสดิการมีส้มตำ ไก่ย่างขายเพิ่มด้วย รสชาติใช้ได้เลยค่ะ











ช่วงบ่ายเราเดินขึ้นจากชั้นที่ 5 ไปยังชั้น 7 เริ่มเดินกันตอนบ่ายสองกลับมาถึงประมาณบ่ายสี่ น้ำตกช่วงนี้ไม่ค่อยมีที่เดินเล่นเหมือนชั้นล่างๆ แต่เป็นผาน้ำตกเป็นชั้นเป็นขั้นสลับซับซ้อนสวยงามมากกว่าชั้นล่าง







มาน้ำตกแล้วไม่เล่นน้ำตกก็กระไรอยู่ จากที่เดินมาเราเล็งๆ ชั้น 3-1 ไว้ค่ะ เพราะมีแอ่งน้ำใหญ่กว่าชั้นอื่น หลังจากเดินถ่ายรูปครบทั้ง 7 ชั้น ก็กลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวไปเล่นน้ำกัน

ขอบอกว่าน้ำตกเย็นสบายมากๆ น้ำใส๊ใสเห็นปลาว่ายน้ำกันเลยหละ แต่ตอนเล่นต้องระวังหน่อย เพราะหินค่อนข้างลื่นนะคะ

เล่นกันจนฟ้าเริ่มมืดถึงเลิก พออาบน้ำเสร็จก็เดินท้องร้องไปร้านสวัสดิการ ตั้งใจกันไว้ว่ามื้อเย็นวันนี้จะกินปลาสามรส กะ ไข่เจียวหมูสับ พอใกล้ถึงร้าน เอ๊ะ!! ทำไมร้านมันมืดๆ ปิดแล้วหรอ แต่ยังไม่สามทุ่มเลยนะ (ร้านสวัสดิการปิดสามทุ่มค่ะ) ไม่หรอกๆ ยังไม่ปิดๆ พอเดินเข้าไปในร้านเหลือแต่เจ้าหน้าที่ผู้ชาย 2 คน บอกกับเราว่า “แม่ครัวไปงานศพกันหมดเลยน้อง ตู้กับข้าวกับตู้เย็นที่แช่ของสดก็ล็อกหมดแล้วกุญแจอยู่ที่แม่ครัวเขา” เราเลยอึ้งไปชั่วขณะ หันมามองตากันปริบๆ พี่แกบอกตอนนี้มีแค่ข้าวสวยกับไข่ไก่ เย็นนั้นเลยได้กินปลากระป๋องที่ซื้อจากร้านขายขนมของอุทยานฯกับไข่เจียวฝีมือพี่เค้าแทนค่ะ T-T (เชื่อเลยค่ะอะไรมันจะพอดิบพอดีอย่างงี้ ทำเราฝังใจกันจนถึงทุกวันนี้...ถ้าคุณไปแม่ขมิ้นเราฝากซื้อปลาสามรสกะไข่เจียวหมูสับนะค่ะ)

วันรุ่งขึ้นตื่นกันตั้งแต่ตีห้า อาบน้ำ เก็บของ แล้วก็ลงไปถ่ายรูปที่ลานกางเต็นท์ได้ซักพัก พี่มาศก็มาตามที่นัดกันไว้คือ 6 โมงครึ่ง พี่มาศส่งเราที่ท่ารถตู้กลับกรุงเทพฯ ประมาณ 9 โมงกว่าๆ เราแวะทานข้าวเช้าที่ร้านตามสั่งข้างๆ แล้วกลับรถตู้รอบ 10 โมง ถึงกรุงเทพฯเที่ยงครึ่งค่ะ

รวมค่ารถไปกลับ ค่าที่พักแสนสบาย ค่ากินที่กินกันจนพุงกาง ของเราสองคนทริปนี้ใช้เงินไม่เกิน 3500 บาทค่ะ

V Impression

เราประทับใจ...น้ำตกสวยๆที่สามารถเดินดู และถ่ายภาพได้ครบโดยไม่ต้องปีนเขามากมาย อากาศที่แสนสดชื่น เสียงน้ำตกที่สามารถได้ยินได้ตลอดเวลา ห้องพักบรรยากาศดีที่ดูได้ทั้งดาวและพระอาทิตย์ขึ้นโดยไม่ต้องไปไหน และสุดท้ายไข่เจียวหมูสับกรอบนอกนุ่มในที่แสนอร่อย

จบแล้วค่ะ ทริปแรกของ V Travel เจอกันใหม่ทริปหน้าใน Destination 2: Sangkhlaburi

ขอบคุณมากๆสำหรับทุกท่านติดตามค่ะ *( ^ /\ ^ )*

Article by Gade
Photo by Kaem

บทความที่เกี่ยวข้อง

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น (ตอนที่ 1)
น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น (ตอนที่ 2)

Read More

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น (ตอนที่ 2)


ในตอนแรกเราได้บอกข้อมูลทั่วไป การเดินทาง ที่พักของน้ำตกแม่ขมิ้นไปแล้ว ตอนนี้ขอเล่าประสบการณ์จากการเที่ยวน้ำตกแม่ขมิ้นของเราให้ได้อ่านกันค่ะ

แต่ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณข้อมูลการเดินทางจาก คุณคนไม่มีดี จากเวปสมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถมภ์ที่ทำให้เราได้ไปเที่ยวและถ่ายรูปน้ำตกสวยๆในทริปนี้ค่ะ

เราไปน้ำตกแม่ขมิ้นกัน 3 วัน 2 คืน วันแรกเราออกจากกรุงเทพฯประมาณเก้าโมงเช้า เดินทางกันด้วยรถตู้ (กรุงเทพฯ-ลาดหญ้า) ท่ารถอยู่หน้าโรงแรมรัตนโกสินทร์ ที่สนามหลวง โดยรถจะเริ่มวิ่งเที่ยวแรก 05.00น. เที่ยวสุดท้าย 20.00 น. มีรถออกทุกชั่วโมง ค่ารถคนละ 120 บาท ใช้เวลาเดินทางประมาณสองชั่วโมงครึ่งค่ะ

ถึงลาดหญ้าเกือบๆเที่ยงค่ะ รถตู้จะจอดหน้าร้านเจ้ดำข้าวราดแกงพอดี สำหรับผู้ที่จะเดินทางแบบเรา ขอแนะนำให้แวะทานข้าวเที่ยงกันก่อนเพราะยังต้องเดินทางกันอีกนานเลยค่ะ พออิ่มแล้วก็เดินไปท่ารถที่จะพาไปน้ำตกแม่ขมิ้นกัน จากร้านเดินเจ้ดำให้เดินไปทางซ้ายมือของร้าน ซักพักจะเจอซอยใหญ่ หน้าปากซอยมีวินมอเตอร์ไซค์อยู่ เดินเข้าซอยไปซัก 100 เมตรก็เจอท่ารถแล้วค่ะ

รถที่จะพาไปน้ำตกเป็นรถสองแถวซึ่งเข้ามาซื้อของกินของใช้ในเมืองเอาไปส่งที่บ้านของชาวบ้านบนภูเขาตามทางระหว่างไปน้ำตก เพราะฉะนั้นก็จะใช้เวลาในการเดินทางมากซักหน่อย แต่เราก็ไ
ด้เห็นทิวทัศน์สวยๆ ไร่พริก สวนแก้วมังกร ความเป็นอยู่ของชาวบ้านแถวนั้นซึ่งถ้าขับรถมาเองคงไม่ได้เห็นแน่ค่ะ ^^


รถสองแถวจะมีวิ่ง 2 คัน สลับกันคันละวัน แนะนำให้โทรไปคุยกับพี่เค้าก่อนจะได้ไม่ตกรถนะค่ะ ถ้าเดินทางวัน ศุกร์, อาทิตย์ โทรติดต่อ พี่สวง 089-902-4902 หรือ ถ้าเดินทางวัน เสาร์, จันทร์ โทรติดต่อ พี่มาศ 081-981-3645 รถออกประมาณเที่ยง ค่ารถต่อเที่ยวคนละ 110 บาท (ราคานี้เมื่อกันยายน 50 นะค่ะ) เราเดินทางกันวันเสาร์เลยได้ไปกับพี่มาศ ค่าเข้าเขตอุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์คนละ 40 บาท เราถึงที่พักประมาณสี่โมงเย็น พี่เค้าส่งถึงที่เลยค่ะ ส่วนขากลับเราก็บอกพี่เค้าว่าจะกลับวันไหน ถึงวันนัดพี่แกมารับแต่เช้าเลย ปกติก็ประมาณ 6-7 โมงเช้า ไม่มีลืมค่ะ ไม่ต้องโทรเตือนด้วย พี่มาศแกความจำดี เห็นชาวบ้านสั่งของตั้งหลายอย่างไม่เห็นพี่แกจดซักกะตัว แกบอก “จำได้ จำได้” หลังจากนั้นเราก็ไปขอกุญแจห้องพัก แนะนำให้ห้องพักจองล่วงหน้าผ่านทางเวปไซต์ของอุทยานแห่งชาติ (www.dnp.go.th) ห้องพักที่เราจองคืนละ 900 บาท พักได้ 3 คน ห้องน้ำ 1 ห้อง ห้องอาบน้ำ 1 ห้อง มีเครื่องทำน้ำอุ่น พัดลม ผ้าเช็ดตัว ห้องนี้เป็นห้องริมสุดเลยมีระเบียงด้านข้างที่สามารถมองเห็นบันไดทางขึ้นจากลานด้านล่างซึ่งห้องอื่นไม่มีค่ะ ส่วนระเบียงด้านหน้ามีโต๊ะให้นั่งเล่นชมวิวแม่น้ำสวยๆ สูดอากาศดีๆ ฟังเสียงน้ำตกกัน


วิวจากระเบียบห้อง


เพลินๆ สำหรับคนที่ชอบนอนเต็นท์ทางอุทยานฯก็จัดสถานที่ไว้ให้เป็นลานกว้าง มีห้องอาบน้ำและห้องน้ำอยู่ไม่ไกล โดยจะแบ่งหญิง-ชายเป็นสัดส่วนค่ะ


หลังจากเก็บของ อาบน้ำล้างฝุ่นเสร็จก็ประมาณ 5-6 โมงเย็นแล้วค่ะ เราเลยออกไปเดินเล่น เก็บภาพพระอาทิตย์ตกดิน ถ่ายรูปที่น้ำตกชั้นที่ 4 หรือ ชั้นฉัตรแก้ว เค้าว่าเป็นชั้นที่สวยที่สุด ไปแล้วห้ามพลาด...ก็จริงที่เค้าว่าค่ะ สวย
จริงๆ และถ้าคุณไปยืนบริเวณนั้นก็จะได้รับละอองน้ำจากน้ำตกให้ได้สดชื่นไปตามๆกัน แล้วก็เดินสำรวจบริเวณใกล้ๆกันอีกสักพักค่ะ


พอฟ้ามืดก็เดินไปกินข้าวเย็นที่ร้านสวัสดิการของทางอุทยานฯ อาหารที่นี้อร่อยค่ะ สะอาด ราคาไม่แพง...ไข่เจียวหมูสับแม่ขมิ้น อร่อยมากๆ ติดใจกันสุดๆ ขนาดจะยอมนั่งรถกลับไปกินอีก...555 อิ่มแล้วก็กลับห้อง นอนพักเอาแรงค่ะ


กลางคืน นอนดูดาว อากาศเย็นสบาย มีเสียงน้ำตกคอยกล่อม หลับสบายเชียวคะ ^^ zZ ตอนหน้าเราจะไปตะลุยน้ำตกแม่ขมิ้นกัน ติดตามอ่านให้ได้นะค่ะ ( ^ -‘)w

Article by Gade
Photo by Kaem


บทความที่เกี่ยวข้อง

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น (ตอนที่1)
น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น (ตอนที่3)

Read More